Italy

แปลงเป็นดราม่าครั้งใหญ่ ของแวดวงกีฬา Italy เมื่อนักวิเคราะห์บอลคนมีชื่อเสียงโดนไล่ออก จากการพูดไม่ถูก 1 ประโยค

       สถานีส่งสัญญาณโทรทัศน์ช่องมีเดียพาสัน ของ Italy จะมีรายการวาไรตี้บอลชื่อ ท็อปกัลโช่ 24 โดยจะเอานักวิเคราะห์มาคุยกันเรื่องบอล ในทางมุมต่างๆในรอบอาทิตย์ ซึ่งก็นับว่าเป็นรายการยอดนิยมพอเหมาะพอควร หัวข้อสำคัญเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ โดยฉันรูคนหนึ่งในรายการ ชื่อลูชาโน่ ขว้างสสิรานี่ อายุ 80 ปี เขาเป็นอดีตผู้บริหารของอตาลันต้า และก็เลชเช่ นอกจากยังแต่งหนังสือเกี่ยวกับบอลอีกหลายเล่ม

      ขว้างสสิรานี่ ได้รับเชื้อเชิญมาร่วมรายการ รวมทั้งมีจังหวะหนึ่ง ที่ผู้ดำเนินรายการหลัก ได้กล่าวเรื่องโรเมลู ลูกาข้า กองหน้าของอินเตอร์ มิลานขึ้นมา ก่อนที่จะถามคำถามว่า ตัวขว้างสสิรานี่ คิดอย่างไรกับฝีเท้าของลูุกากู ขว้างสสิรานี่ตอบว่า “ผมไม่เคยมองเห็นนักฟุตบอลแบบลูกาข้ามาก่อนในเซเรียอา ไม่เคยมองเห็นเลยอีกทั้งกับเอซี มิลาน, อินเตอร์ , โรม่า หรือ ลาสิโอ”

      “เขาเป็นนักฟุตบอลที่กล้าแกร่งที่สุดคนหนึ่ง ผมถูกใจเขามากมายจริงๆผมว่าเขาร่างกายกล้าแกร่งกว่า มองวาน ซาขว้างต้า ของอตาลันต้าสองเท่าได้เลยมั้ง”

“นักฟุตบอลกลุ่มนี้ มีอะไรบางอย่างไม่ราวกับคนอื่นๆ เขาเป็นชนิดที่ทำประตูได้เยอะมากๆแล้วก็พาทีมชนะไปได้พร้อม”

“นักฟุตบอลอย่างลูกาข้า ถ้าหากพบกันตัวต่อตัวตายแน่ๆ คุณโดนอัดหล่นแน่นอนมันคงไม่เป็นอันตรายกว่า หากคุณจะโยนกล้วยสัก 10 ผล ให้เขารับประทานแทน เพื่อเอาชีวิตรอด”

      หากพวกเราฟังมอง ก็จะรู้สึกได้โดยทันทีว่า เฮ้ย มันน่าตกใจ มันเป็นการแบ่งผิวแบบสุดๆเลย ไปด่าทอลูกาข้าราวกับเป็นลิงคิงคองถูกใจรับประทานกล้วย แต่ว่าขว้างสสิรานี่ กล่าวอย่างไม่ทันคิดอะไร กระทั่งเมื่อได้รับฟีดแบ็กจากแฟนคลับทางบ้าน ถึงได้ทราบว่าสิ่งที่เขากล่าวไป มันเป็นการแบ่งผิวแบบแจ่มกระจ่างมากมาย ก่อนที่จะเรื่องจะแผ่ขยายแย่ลงกว่าเดิม ฟาบิโอ ราเวซซานี่ ผู้บริหารสถานี จะต้องออกมากล่าวขออภัยในทันที รวมทั้งรับรองว่า คนพูด จะมิได้กลับมาจัดรายการอีกที เป็นครั้งที่ 2

      เรื่องการเรียกคนดำว่าเป็นลิง ตั้งแต่ลูกาฉันย้ายมาอิตาลี นี่ไม่ใช่คราวแรก ย้อนกลับไปในเกม ที่อินเตอร์ มิลาน ชนะกายาปรี่ 2-1 ต้นเดือนก.ย. เกมนั้นลูกาเราซัดจุดลูกโทษช่วยทำให้กลุ่มงูใหญ่คว้าชัยได้เสร็จ ระหว่างการยิงจุดลูกโทษ แฟนคลับกายาปรี่ ทำเสียงร้องเป็นลิง เจี๊ชูๆล้อเลียนลูกาเรา ซึ่งพอลูกากูยิงเข้า สหายร่วมกลุ่ม ไม่ลาน สคริเนียร์ จะต้องเอามือมาจุ๊ปาก เพื่อบอกแฟนคลับกายาปรี่ว่าเฉยๆเหอะ ข้างหลังโดนดูหมิ่นเหยียดหยาม ลูกาเราลงกล่าวใน IG เขาพูดว่า นึกว่าปี 2019 ความนึกคิดของคนจะก้าวไปด้านหน้า แม้กระนั้นไม่เลย ผู้คนกลับเดินถอยหลัง และก็การแบ่งผิวก็มิได้ต่ำลงจากเดิม

Italy

                “ สนใจเข้าร่วมเดิมพันฟุตบอล ufabet1688 คลิก ”

      สำหรับลูกาข้า นี่เป็นประสบการณ์ใหม่ เพราะเหตุว่าตอนอยู่ที่อังกฤษ เขาไม่เคยพบการแบ่งผิวมาก่อน เพราะเหตุไรกล้วยกับลิง ถึงเป็นเครื่องหมายของการแบ่งผิวไปได้? มีการพินิจพิจารณากันไว้ ว่าชาวตะวันตก ใช้เครื่องหมายของลิง สำหรับในการติดต่อถึงสิ่งมีชีวิตที่มีเพียงแต่กำลัง แม้กระนั้นไม่มีอารยธรรม

      ย้อนกลับไปตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ เพลโต ปราชญคนดัง พูดว่าพวกลิงมีรูปพรรณสัณฐานที่น่าเกลียดน่าสยดสยอง ต่างจากมนุษย์ที่ใกล้พระผู้เป็นเจ้า จะมีรูปร่างที่งามมากยิ่งกว่า ศตวรรษที่ 17 ฌอง โบแด็ง ผู้รู้ชาวประเทศฝรั่งเศส ได้เขียนถึงทวีปแอฟริกาว่า “เป็นภูมิภาคที่มนุษย์และก็สัตว์ป่าสามารถอยู่ร่วมกันได้”

โดยคำว่าสัตว์ป่าที่โบแด็งสื่อถึง มิได้ซึ่งก็คือสัตว์จริงๆแม้กระนั้นหมายความว่าคนดำ

      ไปสู่สมัยประมาณ1-2 ร้อยปีที่ล่วงเลยไป ความรู้สึกของคนผิวขาว ที่มีต่อคนดำก็มิได้แปรไปมากมาย โน่นเป็น คิดว่าคนดำไม่มีอารยธรรม มีแม้กระนั้นกำลัง ฉะนั้นก็เลยเหมาะสมกับงานที่ใช้แรงเพียงอย่างเดียว

คนขาว = มนุษย์ = มีการเล่าเรียน มีสมอง

คนดำ = ลิง = ไร้การศึกษา มีแต่ว่ากำลัง

      นี่เป็นการเปรียบเทียบกล้วยๆรวมทั้งสิ่งที่ลิงถูกใจก็คือกล้วย โดยเหตุนี้กล้วยก็เลยเป็นเครื่องหมายของการดูหมิ่นเหยียดหยามคนผิวดำไปโดยปริยายเป็นที่รู้กันว่า ถ้าเกิดใช้ลิง กับกล้วยเมื่อไร เป็นดูถูกผิวเมื่อนั้น ไม่อาจจะแก้ตัวอะไรได้เลยสำหรับในแวดวงบอล เรื่องกล้วยกับลิงนี่มีมานานมากๆเท่าที่มีการบันทึกเป็นในปี 1920 สื่ออาร์เจนตำหนิน่า จะเรียกนักฟุตบอลบราซิลว่า “มากากีโตส” หรือ “ไอ้พวกลิง”

      อย่างที่รู้กันเป็น อาร์เจนว่ากล่าวน่า กับบราซิล เป็นสองชาติที่เป็นคู่ปรับเบอร์ต้นๆของโลก แล้วก็อาร์เจนติเตียนน่าที่มวลชนเป็นผิวขาว ก็จะไปแขวะกลุ่มชาติบราซิลที่มีนักเตะผิวดำเป็นแกนหลัก ว่าเป็นไอ้พวกลิงไม่มีวัฒนธรรม เรื่องราวเรื่องกล้วย กับนักเตะนั้นมีมาเรื่อยยิ่งในสมัยก่อน มิได้มีการรณรงค์อย่างเอาจริงเอาจัง เพราะเหตุว่าไม่คิดว่าเกิดเรื่องร้ายแรงอะไร ทำให้นักฟุตบอลผิวดำก็ได้แต่ว่าเก็บความโกรธแค้นไว้ภายในดวงใจ

หนึ่งในรูปภาพคลาสสิคที่สุดในแวดวงบอลอังกฤษ เป็นเกมเมอร์ซีไซด์ ดาร์บี้ ปี 1988 แฟนบอลเอฟเวอร์ตัน โยนกล้วยลงมาสู่สนาม เพื่อแบ่งผิวจอห์น บาร์นส์ ดาวเตะของหงส์แดง ซึ่งเขาก็ตอกส้นกล้วยผลนั้นออกไปจากสนาม

คนดำอย่างจอห์น บาร์นส์ ทำอะไรมิได้ก็ได้แม้กระนั้นจำเป็นต้องทรหดอดทนกับเรื่องที่เกิดขึ้นไปก็เพียงแค่นั้น

      “สำหรับนักฟุตบอลผิวดำทุกคนในสมัย 80 พวกเขาจำต้องพบเพลงด่าทอเกี่ยวกับการแบ่งผิว รวมทั้งการโยนกล้วยลงไปในสนาม ซึ่ง ณ เวลานั้น มันเป็นสิ่งเป็นที่ยอมรับได้ในบอลอังกฤษ”

      ที่อังกฤษนั้น การแบ่งผิวในแวดวงบอลทุเลาลงได้ เพราะเหตุว่าผู้ที่เกี่ยวข้องเห็นว่ามันเกิดเรื่องใหญ่ มีการตั้งหน่วยงานอย่าง Kick it out (เตะการแบ่งผิวออกไป) เพื่อเปลี่ยนแปลงทัศนคติของมนุษย์ว่า มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่จะมาลบหลู่ดูหมิ่นคนอื่นๆ ในเรื่องที่เขาเปลี่ยนอะไรมิได้ ดังเช่นว่าสีผิวฯลฯ

      ถึงแม้ที่อังกฤษเหตุการณ์การแบ่งผิวจะดียิ่งขึ้น แต่ว่าในหลายๆประเทศที่ยุโรป ปัญหายังคงอยู่ เป็นไม่จำเป็นว่าคนดำจะรุ่งเรืองก้าวหน้าขนาดไหนในชีวิตจริง แต่ว่าในสนามฟุตบอล พวกเขายังสามารถโดนเปรียบเป็นลิงที่ไม่มีอารยธรรมได้ตลอดระยะเวลา สำหรับเคสดังๆที่ผ่านมาพวกเรามองเห็น ดานี่ อัลเวส โดนโยนกล้วยใส่ ยุคเล่นให้บาร์เซโลน่า , โรกางร์โต้ คาร์ลอส โดนโยนกล้วยใส่ ตอนอยู่อันจิ มาค้างชค้างล่า

หรือปิเครื่องปรับอากาศ-เอเมริก โอบาเมย็อง โดนโยนเปลือกกล้วยใส่ ในเกมกับสเปอร์ส

      รวมถึง มาริโอ บาโลเตลลี่ ตอนเล่นอยู่กับนีซ เคยโดนแฟนบอลคู่อริทำเสียง “อุอุอุ” (แบบกอริลล่า) ใส่มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ความรู้สึกการโดนแบ่งผิว ชอบฝังลึกลงไปในใจของนักฟุตบอลผิวดำเกือบทุกคนไปถามผู้ใด ใครกันแน่ก็จะกล่าวว่า เคยโดน Abuse หรือรังแกทางคำบอกเล่ามาแล้วทั้งหมด

      กลับไปที่อิตาลี ข้างหลังเรื่องที่ลูกาเรา โดนแฟนกายาปรี่ดูถูกผิว จุดที่น่าดึงดูดเป็นแฟนบอลที่อิตาลีคิดว่า การดุด่าเป็นลิง ไม่ใช่การดูถูกผิว ถ้อยแถลงจากกรุ๊ปอุลตร้า เคอร์ว่านอร์ด ของอินเตอร์ มิลาน แทนที่จะจู่โจมฝั่งกายาปรี่ แม้กระนั้นไม่เลย พวกเขาปกป้องรักษาแฟนบอลกายาปรี่ แล้วก็พูดว่า ลูกาฉันควรจะรู้เรื่องวัฒนธรรมของบอลอิตาลีมากยิ่งกว่านี้

      “พวกเราเศร้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่กายาปรี่ แต่ว่าที่อิตาลีคุณจะต้องรู้เรื่องก่อนว่า พวกเราไม่ราวกับยุโรปชาติอื่นๆที่มีปัญหาดูถูกผิวจริงๆ”

      “พวกเรารู้เรื่องว่ามันดูอย่างกับว่าการดูถูกผิว แต่ว่ามันไม่ใช่แบบงั้น เป็นพวกเราใช้การ “ด่า” กลุ่มอื่น เพื่อช่วยกลุ่มพวกเราทางอ้อม พวกเราจะทำเช่นไรก็ได้ ให้คู่ปรับรู้สึกกังวล และไม่สุขใจ จุดมุ่งหมายไม่ใช่การแบ่งผิว แม้กระนั้นเป็นการทำลายสมาธิของพวกเขา”

      “พวกเราเป็นแฟนบอลเป็นที่ยอมรับผู้เล่นไม่ว่าจะมาจากไหน แต่ พวกเราใช้แนวทางการด่าอย่างนี้กับคู่ปรับกลุ่มอื่นมาตลอด และก็จะใช้มันถัดไปในอนาคตด้วย”

      “แม้กระนั้นโน่นก็มิได้แปลว่าพวกเราเป็นพวกดูถูกผิว แล้วก็แฟนคลับของกายาปรี่ก็อาจจะไม่ใช่เหมือนกัน”

เมื่อแฟนบอลพันธุ์แท้ของอินเตอร์ ออกมาคำแถลงอย่างงี้ มันก็เลยกำเนิดปัญหาขึ้นว่า การดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่นด้วยคำกล่าว แม้กระนั้นพูดว่าจริงๆมิได้เจตนาแบบงั้น มันสามารถทำเป็นหรอ? แล้วการจัดการกับปัญหาที่ถูก แฟนบอลควรจะเลิกกล่าวหัวข้อเรื่องสีผิวไปเลย หรือตัวนักฟุตบอลควรจะเห็นด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ แบบไหนเป็นทางออกที่ดีมากกว่ากันแน่

      ข้อคิดเห็นที่น่าไตร่ตรอง ในแวดวงบอลอิตาลีที่การแบ่งผิวยังมีอยู่จำนวนมาก ทั้งที่ชาติอื่นจัดว่าต่ำลงมากมายๆแล้ว

บางครั้งก็อาจจะเป็นเพราะว่าเรื่องทัศนคติในเรื่องสีผิวของคนอิตาลีเอง ที่ไม่คิดว่ามันเป็นใจความสำคัญใหญ่ เมื่อพวกเขาไม่คิดว่ามันเกิดเรื่องไม่ถูกอะไรแต่แรกเริ่ม ก็สามารถกล่าวอะไรก็ได้ หากแม้สังคมโลกจะไม่เห็นพ้องก็ตาม ฉะนั้นนักฟุตบอลผิวดำในอิตาลี ก็อาจจะจำต้องทรหดอดทนกับเรื่องที่เกิดขึ้นถัดไป

      จากเรื่องที่เควิน ปรินซ์-บัวเต็ง นักฟุตบอลเอซี มิลาน โดนแบ่งผิวตลอดเกม จนกระทั่งหยุดเล่นบอลในเกมเตรียมพร้อมเมื่อปี 2013 แล้วเดินออกมาจากสนามไปเลย มาถึงเรื่องที่มอยเซ่ คีน กองหน้าของยูเว่ โดนแฟนกายาปรี่โห่ใส่ แม้กระนั้นรุ่นพี่ในกลุ่มลีโอท้องนาร์โด โบนุชชี่ แทนที่จะปกป้องรักษาคีน แม้กระนั้นเขาดูในมุมของคนอิตาลี แล้วพูดว่าหัวข้อนี้ ก็รู้เรื่องแฟนบอลเช่นเดียวกัน เหตุของซุลเลย์ มุนตาปรี่ ในปี 2017 ยุคเล่นอยู่กับเปสติดอยู่ร่า เขาโดนแฟนบอลดูถูกผิวตลอดเกม แต่ว่าเพียงพอไปต่อต้านผู้ตัดสินกลับโดนใบเหลืองที่ 2 ไล่ออกไปจากสนามแทนซะแบบงั้น โดยที่ผู้ตัดสินมิได้ช่วยจัดแจงประเด็นการแบ่งผิวเลย สถานะการณ์ของติดอยู่ลิดู คูลิบาลี่ ที่โดนแฟนอินเตอร์ มิลานทำเสียงลิงไล่ตลอดเกม กระทั่งเจ้าตัวจะต้องเดินออกมาจากสนามด้วยความคับโกรธแค้น

      มาจนกระทั่งเคสของโรเมลู ลูกาเรา ในคราวนี้ ซึ่งก็แน่ๆว่า คงจะไม่ใช่เหตุท้ายที่สุด เพราะว่าการจะเปลี่ยนแปลงความคิดของคนภายในประเทศได้ มันไม่ใช่ง่ายจริงๆ ไม่แปลกที่นักฟุตบอลผิวดำหลายท่านจะคิดมาก ว่าจะย้ายมาเล่นใน Italy ดีไหม เพราะเหตุว่าพวกเขารู้อยู่แล้วว่าจะพบกับอะไร เล่นบอลไป โดนดุไป แถมไม่มีผู้ใดช่วยอะไรได้ เพราะเหตุว่าแฟนบอลทั่วประเทศมิได้มีความเห็นว่ามันคือปัญหา เป็นพบดุทุกแมตช์ที่ลงเล่นแบบงี้ สำหรับคนโดนปฏิบัติ มันก็คงจะไม่สนุกเท่าไรหรอกนะ ว่าไหม

สนับสนุนข่าวโดย carrefourprochesaidants